วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับเหล้า
แอพเพอริทิฟ ( Aperitif )
      แอพเพอริทิฟหรือบางครั้งเรียกว่า อโรมาไทสด์ไวน์ (Aromatized Wine) คือเหล้าที่นิยมดื่มก่อนอาหารหรือเรียกน้ำย่อย คำว่าแอพเพอริทิฟมาจากคำลาตินแปลว่า เปิด “To Open” ซึ่งในที่นี้ควนหมายถึงเครื่องดื่มก่อนการรับประทานอาหาร แอพเพอริทิฟ สามารถแบ่งเป็น 3 ชนิด

     1.เวอร์มุธ (vermouth) เป็นเหล้าที่ทำมาจาก 80% ไวน์ และอีก 20% ส่วนผสมของบรั่นดี น้ำองุ่น สมุนไพร เครื่องเทศ และรากไม้ เวอร์มุธจะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ หวาน (sweet) และไม่หวาน (Dry) ยี่ห้อที่เห็นบ่อยในเมือไทย เช่น Martini , Cinzano , Noilly Prat

     2.บิตเตอร์ (Bitter) เป็นเหล้าที่มีวิธีการทำคล้ายกับเวอร์มุธ แต่เข้มข้นกว่า มีรสชาติขม แบ่งได้ 2 ชนิด คือ ชนิดแรกเป็นชนิดที่มีรสขมมาก ไม่สามารถดื่มโดยตรงได้จะต้องผสมกับเครื่องดื่มกับตัวอื่น ตัวอย่างเช่น Angostura Bitter และ Underberg อีกชนิดคือ มีรสชาติหอมหวานและขมน้อบกว่าชนิดแรกสามารถดื่มเป็นเครื่องดื่มในตัวได้ ตัวอย่าง เช่น Campari และ Amer Picon

     3. อนิสีด (Aniseed) เป็นเครื่องดื่มทำมาจากโป๊ยกั๊ก ( Aniseed) มีรสหอมหวาน ตัวอย่างเช่น Pernod , Ricard และ Dubonnet
ตากีลา ( Tequila )    ตากีลาเป็นเหล้าที่ผลิตในประเทศเม็กซิโก ทำมาจากพืชชื่อ Agave (เป็นกระบองเพชรชนิดหนึ่ง) ตามกฎหมายกำหนดไว้ว่า การทำตากีลาจะต้องใช้ต้น Agave ที่ปลูกในหรือรอบเมืองชื่อ Tequila แต่ต้องภายในรัฐ Jalisco ส่วนเหล้าที่ใช้ต้น Agave ในการผลิต แต่นำมาจากนอกรัฐ Jalisco จะไม่สามารถเรียก Tequila ได้ แต่จะใช้ชื่อว่า Mezcal ตากีลาจัดเป็นเหล้าที่ดื่มกันมากในแม็กซิโก วิธีการดื่มตากีลาแบบดั้งเดิมโดยใส่เกลือปนวางบนหลังมือระหว่างนิ้วชี้และนิ้งโป้ง และในมือเดียวกันใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งถือมะนาว 1 ซีก เมื่อต้องการดื่มให้เลียเกลือจากหลังมือตามด้วยตากีลา แล้วให้กัดหรือบีบมะนาวตาม แม้แต่ปัจจุบันมีคนไม่น้อยที่นิยมใช้วิธีแบบดั้งเดิมนี้ในการดื่มจากีลาเพราะจะได้รสชาติที่แท้จริงของตากีลา ตากีลานำมาใช้มากในการทำเครื่องดื่มค็อกเทล เช่น Margarita ยี่ห้อที่เห็นกันมากในประเทศไทย คือ El-Toro , Pepe Lopes
ตากีลาแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1. white หรือ Silver จะเป็นสีใส โดยไม่ผ่านการเก็บหรือบ่มมาก่อน
2. Gold เป็นตากีลา ซึ่งถูกเก็บหรือบ่มในถังไม้โอ๊กนานถึง 1 ปี จะมีสีน้ำตาลเหลือง
3. Anejo ( อานีโฮ ) เป็นตากีลาซึ่งถูกเก็บหรือบ่มในถังไม้โอ๊กนานประมาณ 1 - 7 ปี จะมีสีทองเข้ม

จิน ( Gin )
เป็นเหล้าที่กลั่นมาจากข้าว แล้วผสมจูนิเปอร์ ( Juniper Berries ) เพื่อได้รสชาติและกลิ่นที่หอม บางครั้งก็จะผสมกับสมุนไพร เครื่องเทศ และเปลือกผลไม้ประเภทรสเปรี้ยว สมัยก่อนเป็นเครื่องดื่มที่มีรสและกลิ่นของจูนิเปอร์ที่เข้มข้นมาก และเป็นที่นืยมดื่มในหมู่ทหารอังกฤษในประเทศฮอลแลนด์ และทหารชาวอังกฤษได้ตั้งฉายาให้เครื่องดื่มนี้ว่า "Dutch Courage" ต่อมาทหารอังกฤษได้นำกลับมาที่ประเทศอังกฤษและได้ดัดแปลงวิธีการผลิตซึ่งลดความเข้มข้น ของรสชาติที่ได้จากผลจูนิเปอร์และได้เปลี่ยนชื่อให้สั้นลงเป็น จิน ( Gin )
จินที่พบกันบ่อยมีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. จินที่ทำมาจากประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งจะมีรสชาติที่เข้มข้นของผลจูนิเปิร์มาก นิยมดื่ม"ดยไม่ผสม แต่จะแช่เย็นให้จัดและดื่ม
2. จินที่ทำมาจากประเทศอังกฤษและอเมริกา นิยมใช้เป็นเครื่องดื่มผสมจะมีรสชาติของผลจูนิเปอร์น้อยกว่าจินที่ผลิตจาก ประเทศฮอลแลนด์ จินจากประเทศอังกฤษและอเมริกาก็ยังผสมสมุนไพรและเครื่องเทศ ทำให้มีรสชาติกลมกล่อม
ยี่ห่อที่เห็นกันบ่อยในประเทศไทย เช่น Beefeater , Gordon และ Gilbey 's

วอดก้า ( Vodka )
เป็นเหล้าที่สามารถทำมาจากหลายวัตถุดิบ เช่น ข้าว มันฝรั่ง ข้าวโพด แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้คือ ข้าว ซึ่งจะให้คุณภาพที่ดีกว่าใช้วัตถุดิบอื่น วอดก้าผลิตจากการหมักวัตถุดิบข้างต้นแล้วนำมากลั่น หลังจากนั้นก็นำมาผ่านการกรอง โดยแต่ละบริษัทจะมีวิธีการทำที่แตกต่างกัน แต่หนึ่งในวิธีการกรองคือ การผ่านถ่านเพื่อดูดกลินและสี ดังนั้นเมื่อเราดื่มวอดก้าแล้วจะทำให้ลมหายใจเราไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ วอดก้าผลิตจากหลายประเทศ แต่ที่เห็นบ่อยคือจากประเทศรัสเซียและโปรแลนด์มีวิธีดื่มวอดก้าอยู่หลายวิธี เช่น ดื่มดดยไม่ผสม ดื่มโดยไม่ผสมและแช่เย็น ผสมกับโค้กหรือโซดา ใช้เป็นส่วนผสมในการทำค็อกเทล และใช้เป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย โดยใช้ดื่มคู่กับ ไข่ปลาคาเวียร์ ( Caviar ) ยี่ห้อที่เห็นบ่อยในเมืองไทย เช่น Borzoi , Smirmoff , Stolitchanaya , Abosolu

วิสกี้ ( Whisky/whiskey )
วิสกี้เป็นเหล้าที่สามารถผลิตจากวัตถุดิบหลายชนิด เช่น ข้าวบาเลย์ ข้าวโพด ข้าวไร โดยการหมักวัตถุดิบเหล่านี้ แล้วนำมากลั่น หลังจากนั้นก็นำไปบ่มในถังไม่โอ๊ก จำนวนปีที่บ่มก็จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดวิสกี้และความต้องการของผู้ผลิตที่จะทำวิสกี้ให้มีคุณภาพสูงมากน้อยเพียงใด วิสกี้มีหลายชนิด แต่ละชนิดใช้วิธีการทำและวัตถุดิบที่แตกต่างกัน บางครั้งเราสังเกตว่า ทำไมตัวสะกดภาษาอังกฤษคำว่า วิสกี้ Whisky กับ Whiskey ถึงสะกดแตกต่างกัน สำหรับการจดจำที่ง่ายคือ ถ้าสะกด Whisky ( ไม่มี e ) เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากประเทศก็อตแลนด์และประเทศแคนนาดา ส่วนWhiskey ( มี e ) เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากประเทศไอร์แลนด์และอเมริกา
วิสกี้แบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ
1. Scotch whisky เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากประเทศสก็อตแลนด์
2. Rye whisky เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากประเทศแคนนาดา
3. Irish whiskey เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากประเทศไอร์แลนด์
4. Bourboh whiskey เป็นวิสกี้ที่ผลิตจากประเทศอเมริกา

บรั่นดี (Brandy)
    บรั่นดี เป็นเหล้าที่ผลิตจากองุ่น โดยการหมักน้ำองุ่น แล้วนำมากลั่น ต่อจากนั้นก็บ่มในถังไม้โอ็ก จนได้คุณภาพที่ต้องการ ไม้โอ๊กที่นำมาใช้ทำเป็นถังบ่มบรั่นดีจะมาจาก 2 แห่ง คือ ในป่าชื่อ Limousine ซึ่งเป็นป่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม้โอ๊กจากป่านี้เป็นไม้โอ๊กที่มีคุณภาพดีมาก ส่วนอีกแห่งคือจากป่า Trochais ซึ่งเป็นป่าที่คนปลูกขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการใช้ไม่โอ๊กที่นับวันจะร่อยหรอลงทุกวัน ไม้โอ๊ก หลังจากการตัดแล้วต้องรออีก ประมาณ 5 ปี กว่าจะนำมาใช้ทำเป็นถังบ่มบรั่นดีได้ เพราะต้องการกำจัด Tanin ( สารรสฝาด ) หมดไปก่อนจำนำมาใช้
    คอนยัค (cognac )
เป็นบรั่นดีซึ่งมีคุณภาพดี เป็นที่นิยมดื่มมากที่สุดในประเภทบรั่นดี ทั้งหมดจนมีคนให้สมญานามว่าเป็นราชาแห่งบรั่นดี ( King Of Brandy ) บรั่นดีที่สามารถใช้คำว่า คอนยัค ( Cognac ) ได้ต้องเป็นบรั่นดีที่ผลิตในประเทศฝรั่งเศสในเมืองชื่อ คอนยัค ถ้าผลิตนอกเหนือจากพื้นที่นี้แล้วไม่สามารถเรียกคอนยัคได้ คอนยัคไม่เหมือนกับบรั่นดีทั่วไป คอนยัคต้องผ่านการกลั่นถึง 2 ครั้ง กว่าจะได้มาเป็น คอนยัค บรั่นดีทั่วไปผ่านขบวนการการกลั่นเพียง 1 ครั่ง
อักษรย่อพบเห็นบ่อยบนฉลากคอนยัคมีดังนี้
    V    = Very
    S     = Superior or Special
    O    = Old
    P    = Pale
    E    = Especial
    F    = Fine
    X   = Extra
ตัวอักษรย่อด้านบนนี้ ทำขึ้นมาโดยผู้ผลิตคอนยัคชาวฝรั่งเศส ก็เพื่อให้ชาวอังกฤษที่เป็นผู้บริโภคกลุ่มที่สำคัญได้เข้าใจถึงความหมายที่ผู้ผลิตต้องการจะสื่อ ให้ผู้บริโภคทราบ
อาร์มายัค ( Armagnac )
เป็นบรั่นดีคุณภาพดี ซึ่งผลิตในประเทศฝรั่งเศสในเมืองชื่อ Armagnac เช่นเดียวกับคอนยัค บรั่นดีที่จะใช้ชื่อ อาร์มายัค ได้ต้องผลิตในเมืองอาร์มายัค อาร์มายัคเป็นบรั่นดีที่มี คนดื่มมาก แต่ถ้าเปรียบเทียบกับคอนยัคก็ยังน้อยกว่าบางครั้ง มีคนให้สมญานาม สำหรับอาร์มายัคว่าเป็น ราชินีแห่งบรั่นดี ( Queen of Brandy ) อาร์มายัคจะผ่านการกลั่นเพียง 1 ครั้ง ซึ่งไม่เหมือนกับคอนยัค
ถ้าเราพูดถึงบรั่นดี ทั่วไปแล้วจะหมายความว่า เหล้าที่ทำมาจากองุ่น แต่ยังมีบรั่นดีอีกมากที่ไม่ได้ทำมาจากองุ่น แต่ทำมาจากผลไม้ชนิดอื่น เราจะเรียกบรั่นดีประเภทนี้ว่า บรั่นดีผลไม้ ( Friut Brandy หรือ Eau - de - vie )

ชื่อของบรั่นดีที่ทำมาจากผลไม้ชนิดต่าง ๆ นอกเหนือจากองุ่น คือ
วัตถุดิบ Apple ชื่อ Apple Brandy , Calvados , AppleJack
วัตถุดิบ Apricot ชื่อ Apricot Brandy , Barack Palinka
วัตถุดิบ Blackberry ชื่อ Blackberry Brandy
วัตถุดิบ cherry ชื่อ Kirsch , Kirschwasser
วัตถุดิบ Pear ชื่อ Eau - de - vie de poire , williams
วัตถุดิบ Plum ชื่อ Silvovitz , Mirabelle , Quetsch
วัตถุดิบ Raspbery ชื่อ Framboise
วัตถุดิบ Strawberry ชื่อ Fraise


เหล้าหวาน (Liqueur or Cordial )
Liqueur และ Cordial เป็นเหล้าประเภทเดียวกัน Liqueur เป็นเหล้าหวานที่ผลิตจากประเทศแถบยุโรป ส่วน Cordial เป็นเหล้าหวานที่ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา
Liqueur และ Cordial ทำมาจากวิธีการนำเหล้าตัวหลัก เช่น บรั่นดี รัม วอดก้า วิสกี้ หรือเหล้าชนิดอื่น แล้วนำวัตถุดิบที่เสริมรสชาติ กลิ่น สี ลงไปผสมในเหล้าตัวหลัก เพื่อให้ได้คุณภาพที่ต้องการ
วัตถุดิบที่เสริมให้มีความหวานคือ น้ำตาล น้ำผึ้ง ส่วนวัตถุดิบที่ให้รสชาติและกลิ่นก็มีหลากหลาย เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ เมล็อดผลไม้ ดอกไม้ เปลือกไม้ สนุนไพร เครื่องเทศ และอื่น ๆ อีกมากมาย เหล้าหวานในปัจจุบัน มีสีมากมาย เหล้าชนิดเดียวกันอาจมีมากกว่า 1 สี เพื่อให้ความหลากหลายในการเลือกใช้ วิธีดื่มหลายวิธี เช่นดื่มหลังอาหารโดยไม่ผสมและปริมาณเล้กน้อยใส่ในแก้ว liqueur หรือใช้ผสมค็อกเทล เป็นต้น

ยกตัวอย่างเหล้าหวานชนิดต่าง ๆ มีดังนี้
วัตถุดิบ Anise ชื่อ Anisette
วัตถุดิบ Almonds ชื่อ Amaretto
วัตถุดิบ
Orange ชื่อ Cointreau , Curacao , Grand Marnier
วัตถุดิบ Coffee ชื่อ Kahlua , Tia Maria

ไวน์ (Wine )
เหล้าที่ทำมาจากการหมักองุ่น หรือภาาษอังกฤษเรียกว่า ไวน์ ( wine ) สมัย 20 - 30 ปีก่อน ในเมืองไทยไม่ค่อยมีคนรู้จักไวน์มากนัก ไวน์ในปัจจุบันเป็นที่นิยมากในหมู่คนที่ค่อนข้างจะ มีกำลังซื้อสูง เพราะราคาไวน์ที่มีรสชาติพอดื่มได้แต่ละขวดในปัจจุบัน ไม่ต่ำกว่า 30 - 400 บาท บางท่านดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ สำหรับบางท่านดื่มไวน์เพื่อความสำราญและถูกใจกับรสชาติของมัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามอย่างน้อยเราควรจะรู้จักมันสักหน่อยไวน์แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. ไวน์ไม่มีแก๊ส ( Srill wine )
เป็นไวน์ที่ไม่มีแก๊สและมีจำนวนมากที่สุด มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 9 - 14 % ปริมาณ แอกอกฮอล์ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ผลิตที่จะให้ไวน์ของเขามีปริมาณแอกอฮอล์มากน้อย ขนาดไหน ไวน์ไม่มแก๊สยังสามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก 3 ชนิด ตามสี

   1.1 ไวน์ขาว (White wine ) เป็นไวน์ที่สามารถทำได้จากองุ่นทั้งแดงและขาว สีของไวน์ขาว มีตั้งแต่เหลืองซีด จนถึงเหลืองเข้ม มีรสชาติฝาดเหมือนไวน์แดง ไวน์ขาวนิยมดื่มเย็นที่อุรหภูมิประมาณ 7 - 12 องศา และนิยมดื่มคู่กับเนื้อสัตว์จำพวกสัตว์เนื้อขาว เช่น ปลา ไก่ แต่ก็ไม่ผิด ถ้าเราดื่มไวน์ขาวคู่กับเนื้อวัวแล้วรู้สึกอร่อย เพราะที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเรารู้สึกสำราญกับรสชาติของเครื่องดื่มและอาหารที่เรารับประทาน
    1.2 ไวน์แดง ( Red wine ) เป็นไวน์ที่ทำมาจากองุ่นแดง สีไวน์แดงมีตั้งแต่แดงอ่อนถึงแดงเข้ม สีแดงของไวน์แดงได้มาจากผิวองุ่นแดงระหว่างการหมัก รสชาติฝาดนั้นมาจากสารชื่อว่า Tanin ซึ่งมีอยู่ในเปลือก เมล็ด และก้านขององุ่น ไวน์แดงนิยมดื่มที่อุณหภูม 16 - 23 องศา คู่กันสัตว์เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อแกะ แต่เช่นเดียวกับไวน์ขาว ถ้าเราดื่มกับเนื้อปลาแล้วรู้สึกอร่อย เชิญตามใจชอบ
   1.3 ไวน์ชมพู ( Rose wine ) เป็นไวน์ที่ทำมาจากองุ่นแดง โดยทิ้งเปลือกองุ่นแดง ในช่วงเวลาการหมักเพียงระยะเวลาสั้น แล้วน้ำออก ดังนั้นสีแดงจากเปลือกองุ่นจึง มีไม่มาก ทำให้ไสน์สีชมพู ไวน์สีชมพูนิยมดื่มเย็น อุณหภูมิ ประมาณ 7 - 12 องศา นิยมดื่มคู่กับอาหารจำพวกเนื้อหมู มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน แต่ฝาดเล็กน้อย
2.ไวน์มีแก๊ส (Sparkling wine )
เป็นไวน์ที่มีแก๊ส แก๊สที่มีอยู่ในไวน์นี้ได้มาจากการหมัก ไวน์ที่มีแก๊สที่รู้จักกันดีคือ แชมเปฐ (champagne ) ผลิตในประเทศฝรั่งเศสในแคว้น champagne ประเทศฝรั่งเศสได้มีกฎหมายบังคับในการที่จะใช้ชื่อ champagne คือ ต้องใช้พันธุ๋องุ่นที่กำหนดให้เท่านั้น องุ่นที่ใช้จะมีอยู่ 3 พันธุ์ คือ pinot noir , pinot meunier และ chardonnay ไวน์ก็ต้องผลิตในแคว้น champagne และยังมีกฎระเบียบอีกมากมาย ส่วนไวน์ที่มีแก๊ส แต่ไม่ได้ผลิตในแคว้น chanpagne หรือไม่ได้ใช้องุ่นที่กำหนดหรือไม่สามารถทำตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องใช้ชื่อว่า Sparkling wine ยี่ห้อของ champagne ที่รู้จักกันดีในวงคอไวน์ คือ Dom Perignon

คำที่ควรรู้เพื่อใช้ประโยชน์ในการอ่านฉลากบนไวน์ชนิดนี้ มีดังนี้
คำ                      ความหาย
-Brut                    ไม่หวาน(ไม่มีน้ำตาลหลงเหลืออยู่ในไวน์เลย)
-Extra Sec               ไม่หวาน (มีน้ำตาลเหลืออยู่ในไวน์ 1 - 2 %)
 -Sec                     ไม่หวาน (มีน้ำตาลเหลืออยู่ในไวน์ 2 - 4 %)
-Demi Sec               ไม่หวาน (มีน้ำตาลเหลืออยู่ในไวน์ 4 - 6 %)
-Doux                   หวาน
ไวน์ที่มีแก๊สที่มีคุณภาพดี ควรจะเป็นชนิดที่ไม่หวาน ( Brut ) ไวน์ชนิดนี้นิยมดื่มเย็น อุณหภูมิ 4 - 5 % องศา และดื่มคู่กับเนื้อสัตว์ประเภทใดก็ได้

3.ไวน์ที่ถูกเพิ่มแอลกอฮอล์ ( Fortified wine )
เป็นไวน์ที่ทำมาจากการเพิ่มจำนวนแอลกอฮอล์ในไวน์ที่ไม่มีแก๊ส ( Still wine ) เหล้าที่นำมาใส่เพื่อเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ คือ บรั่นดี ดังนั้นไวน์ชนิดนี้จะมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงระหว่าง 16 - 23 % ตัวอย่าง Fortified wine คือ Sherry และ port

4. ไวน์ที่มีกลิ่นหอม ( Aromatized wine )
Aromatized wine หรือ บางครั้งเรียกว่า Aperitif wine เป็นไวน์ที่ทำมาจากการผสมระหว่างไวน์ไม่มีแก๊ส (Still wine ) กับเครื่องเทศ สนุนไพร รากไม้ และวัตถุดิบต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อจะให้มีกลิ่นหอม Aromatized wine ) สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดไม่หวานกับชนิดหวาน ยกตัวอย่าง Aromatized wine ที่ไม่หวาน คือ เวอร์มุธ ( vermouth ) และ บิตเตอร์ ( Bitter ) ส่วนชนิดหวาน คือ อนิสีด ( Aniseed)



รัม ( rum )
รัมเป็นเหล้าที่กลั่นมาจากน้ำอ้อยที่หมักแล้วรัมแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
1.รัมสีขาว (white rum ) บางครั้งเรียกว่า Light Bodied rum หรือ silver rum เป็นรัมที่มีสีสันสดใสไม่ผ่านการบ่มหรืออาจผ่านการบ่มเป็นระยะสั้น แต่ก็ต้องผ่านการกรองเพื่อจำกัดสีออก
2.รัมสีทอง (Gold rum ) บางครั้งเรียกว่า Medium Bodied rum เป็นรัมสีเหลืองอ่อนใส สีได้จากการบ่มในถัง หรือการเติมราคาเมล (ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลจนได้สีดำเกือบไหม้ ) Gold rum จะมีรสชาติและกลิ่นหอมดีกว่า white rum
3.รัมสีดำ ( Dark rum ) บางครั้งเรียกว่า Full Bldied rum เป็นรัมที่มีสีน้ำตาลเกีอบดำ ก็เช่นเดียวกับ Gold rum สีอาจได้จากการบ่มในถังไม้เป็นระยะเวลานาน หรือสีได้จากคาราเมลรสชาติและกลิ่นหอมจะดีกว่า Gold rum
    รัมเป็นที่นิยมใช้ในการผสมค็อกเทลเป็นจำนวนมาก ดื่มแบบไม่ผสมเสิร์ฟ กับน้ำแข็งผสมกับโค้กหรือแม้แต่นำมาใช้ทำอาหาร เช่น ซอส เค้ก ไอศครีม และอื่น ๆ อีกมากมาย

1 ความคิดเห็น: